วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เอาเลนส์ไปเจิม NST มา

วันเกิดเหตุ
วันก่อนนู้นนนนน วันที่ ม.มหิดล ซ้อมรับปริญญาที่ศาลายา ผมก็ได้ให้ไปเป็นช่างภาพเก็บภาพน้องบัณฑิตน่ารักๆ  เดินร่อนทั่วม. เลยเดินไปเจอคนนู้นก็ถ่ายคนนี้ก็ถ่าย จนเริ่มหมดแรงกัน  เลยพากันไปพักที่เรือนไทยกัน ท่านที่เคยไปจะทราบดีว่าใต้เรือนไทยนั้นมีเสาตั้งมากมาย แสงลอดสวยงาม

ตอนที่น้องบัณฑิตกำลังพักเหนื่อยไปพูดคุยกับญาติๆที่มาแสดงความยินดีด้วยนั้น ผมก็ได้พักตามไปด้วย ปล่อยกล้องห้อยไว้ที่คอ แล้วเดินไปหาเสาที่ถูกฉโหลกว่างๆ นั่งสักแปร๊บบ ในขณะที่กำลังเดินตามันก็เหลือบไปมองอย่างอื่น ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าตอนนั้นมัวไปมองอะไร

เดินหน้าไปมีเสียงดัง แป๊ก!!!!  แกร็ก!!!!  พร้อมกับแรงพลักส่งมายังตัวผม สายตาที่มองอย่างอื่นมันก็เป็นภาพ slow motion จับมาที่กล้อง ความคิดแรกที่อุทานขึ้นตอนนั้น

@#$@#$ ฉิบหายละกรู อะไรมันพังว่ะเนี่ย ยังถ่ายไม่จบงานเลย @#$@#%@#$ 



 ตอนแรกที่คิดว่าจะมีไรพัง ก็คือฮูด คิดว่าเสียงนั้นฮูดคงแตก พอจับยกขึ้นมาดูสภาพมันยังเหมือนตอนที่แกะออกจากซองอยู่เลย ไม่มีรอยอะไรทั้งสิ้น

ขั้นที่สองต่อมาที่ลอง ลองหมุนซูมดู (เหมือนออกแนว 24-70 ซูมติดไรแบบนั้น)  ค่อยๆ เลื่อนช้าๆ ทีละนิดๆ  เอ๊ะมันก็ปกติคุ้นเคยมือดีอยู่

ขั้นที่สามลองเอานิ้วสัมผัสชัตเตอร์เบาๆ โฟกัสยังทำงานดีอยู่ แม่นไม่มีเปลี่ยน

ขั้นสุดท้ายลองถ่ายรูปเอานิ้วกดปุ่มลั่นชัตเตอร์เบาๆ  กรึบ !! กรึบ !!!!  ดูภาพที่ได้ อ้าวเฮ้ยปกติ

แล้วมันเสียงอะไรว่ะดัง แกร๊ก!!!  ???????

ไหนมันก็ยังทำงานได้อยู่ อารมณ์ช่างภาพยังค้างอยู่ เอ้าาาาลุยยยยยยยยยยย    เพราะไอ้อารมณ์มันค้างนี้แหละ เลยไม่ได้สนใจว่า ตอนที่มองช่องมอง มันดูมืดลงจนสังเกตุ อาจจะเพราะว่ามันเป็นแค่ f/4 แล้วอยู่ใต้ร่มด้วย เลยทำให้ดูมืดๆ มองลำบากๆ  แล้วก็ยังไม่เอ๊ะใจอีกว่าจะดัน iso เพิ่มไปทำไม เพราะอารมณ์ช่างภาพมันยังเข้าสิงอยู่ เลยไม่ได้มีสติสนใจนัก

ถ่ายจนจบงานรับตังค์ลากลับกัน ตอนจะเดินกลับฝนมันก็ตั้งท่าว่าจะตกมาตั้งนานละ พอเลิกถ่ายเท่านั้นแหละ ฝนลงเม็ด   ถ้าเกิดใครจำได้วันนั้นฝนมันตกเม็ดใหญ่ แต่ไม่หนักมาก   ผมเลิกถ่ายน้องบัณฑิตเสร็จ ก็โทรหาเพื่อนที่มาถ่ายภาพเหมือนกัน ว่าถ่ายเสร็จแล้วหรือยัง เพราะจะเดินไปหา

โทรถามเสร็จ ได้สถานที่ละอยู่ที่ตึกแดง ไอ้เราก็ไม่ได้เป็นคนพื้นที่ ก็เดินถาม นศ. แถวนั้นแหละว่าตึกแดงอยู่ไหน พอรู้ทิศทางก็เดินๆๆๆๆ ฝนมันก็ตกหนักขึ้นๆ  ไอ้เราก็ไม่กล้าถอดเลนส์เก็บกลางฝนกลัวมีปัญหา ได้แต่ถอดแฟรชเก็บ (ไม่ได้เอากระเป๋าไป ใช้เข็มขัด) เรื่องฝนอะจิ๊บๆ แค่นี้เดินตากได้สบายๆ เดี่ยวอัดซาร่าที่บ้านให้

พอฝนมันเริ่มหนักขึ้นๆ แล้วก็เดินไกลยิ่งขึ้น ก็เดินเข้าไปในอาคารระหว่างทาง เพื่อที่จะดูท่าทีฝนหน่อย ฝนมันเหมือนจะหนักขึ้นอีก ผมก็เลยตัดสินใจถอดเลนส์

นี้แหละตอนเด็ดเลย   ผมจะเก็บเลนส์ บิดเลนส์ออก แล้วด้วยสัญชาตญาณอันรวดเร็วพอบิดอีกทางไม่ออกก็บิดอีกทาง นั้นไง แม่มบิดกลับทางเลย  แล้วผลเป็นไงหละ ถอดไม่ออก เอากลับตำแหน่งเดิมไม่ได้ด้วย
  @#$#@%@#$

 แล้วจะทำไงเนี่ย  นึกในใจตอนแรก อะไรหักหว่า ไหนลองกดชัตเตอร์มันสักทีสิ ในตำแหน่งที่ไม่เข้าที่ (ไม่น่าทำเลย เดี่ยวจะวิเคราะห์ให้ฟัง)  ภาพก็ยังขึ้นหน้าจอ แต่พวกระบบบนเลนส์ทั้ง AF VR ไม่ทำงานละ ได้ภาพมืดๆ ไป  ผมก็เลยช่างมันก่อน รีบไปหาเพื่อนขึ้นรถกลับบ้านดีกว่า ก็เดินตากฝนไปหาเพื่อนนี้แหละ

พอเจอเพื่อน เพื่อนผมยังถ่ายไม่เสร็จผมก็ ลองบิดเลนส์อย่างช้าๆๆๆๆๆ ดู เพื่อมันมีร่องที่เอาออกได้ จะได้เห็นว่ามีไรพัง บิดกี่องศาก็ไม่ออก โอเคเลิกๆๆๆๆ รอกลับบ้านอย่างเดียวละ ดีนะที่เพื่อนมีกระเป๋าใส่ของมา ก็เลยฝากกล้องไว้ในเป๋าเพื่อนได้

กลับมาถึงบ้านได้ อาบน้ำให้สบายกินข้าวให้อิ่ม แล้วเอาเลนส์มานั่งมองพร้อมกับ search ใน Google ว่ามีใครเคยพบปัญหานี้ไหม ใช้ keyword ทุกอย่างที่คิดออกตอนนั้น แต่ท่านอาจาร์ยกู ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ เท่าที่คิดได้ตอนนั้นก็ หลับให้ลงแล้วรอวันจันทร์  กลางคืนใครจะไปหลับลงจิตเริ่มตกละ คิดไปต่างๆ นาๆ ศูนย์ NST จะชอบให้ซ่อมเหมือน เจ้าที่แล้ว ไหมจะโดนค่าซ่อมแพงไหม ตอนซ่อมมันต้องรื้อตัวกล้องเพื่อถอดเลยหรือป่าว สรุปคืนนั้นกว่าจะหลับ ปาไปตีสอง ตีสาม

ขณะที่รอวันจันทร์ มันช่างทรมานยิ่งนัก ทำไมเวลาในหนึ่งวันมันเดินช้า  search แล้ว search อีก ก็ยังไม่มีใครเคยมีปัญหานี้เลย

วันเอากล้องไปส่งซ่อม
พอวันจันทร์มาถึงก็เอารูปถ่ายไปส่งให้น้องบัณฑิต (จุฬา) ที่ MBK ก่อนไปที่นัดก็แวะไป NST ก่อน ไปเจอห้าสาว NST ทำหน้าสวยน่ารักมาต้อนรับด้วยคำหวานๆแล้วส่งยิ้มให้อย่างดี (แต่ตอนนั้นผมยิ่มไม่ค่อยออกละ) ก็ยื่นกล้องให้สาวคนนั่งกลางไป พร้อมกับบอกเหตุการณ์สันๆ แล้วอาการที่เป็นอยู่ไป ฝากให้พี่ช่างช่วยดูหน่อย แล้วพี่สาวคนนั่งกลางก็หยิบกล้องผมไปพร้อมกับบอกว่าให้รอสักครู่  เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ออกมาพร้อม เลนส์อีกข้างหนึ่ง  นึกในใจดังๆว่า

แล้วกล้องกรูหละ !!

 พี่สาวคนกลางก็หยิบมาให้ดูว่าตรงนี้มันเสีย ตรงนี้มันเป็นอย่างนั้น  พร้อมกับบอกว่าช่างกำลังดัดตัวดีดกระเดื้องให้ใช้งานได้  ส่วนตัวเลนส์เห็นได้ชัดเลยว่าตัวกระเดื่องที่ไปควบคุมกลีบไดอาแฟรมมันติดขัดและมีปัญหา แล้วพี่สาวคนกลางก็เดินกลับเข้าไปอีกครั้งพร้อมกับเอาเลนส์เข้าไปดูว่าต้องเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นไหนบ้างเพื่อที่จะบอกค่าซ่อมคร่าวๆ ผมได้ แต่ได้เอากล้องที่พี่ช่างจัดการให้ผม แล้วเอามาให้ดูพร้อมกับบอกว่า พี่ช่างแนะนำให้เปลี่ยนชุดดีดกระเดื่อง แต่ตอนนี้ก็ยังสามารถใช้งานได้อยู่ ผมก็เลยบอกว่า งั้นขอดูราคาคร่าวๆ ก่อน  ก่อนที่ผมจะตัดสินใจซ่อม

ราคาประเมินคร่าวๆ ตัวเลนส์ของผมประมาณ 3000 บาท ตัวกล้องประมาณ 8000 บาท โอ้ววว พระเจ้าจอร์จ ซ่อมแต่เลนส์ไปก่อนแล้วกัน ตัวกล้องเก็บไว้ก่อน ใช้ให้มันพังก่อนค่อยมาเปลี่ยน แต่นั้นไม่ใช่ประเด็ดเท่าไหร่ ไอ้ที่อยากรู้คือเสร็จเมื่อไหร เพราะว่ามีงานที่ เกษตร กับจุฬารออีก  ก็พอขอเร็วหน่อยก็ได้ที่วันศุกร์ตอนเช้า  งั้นเดี่ยววันพฤหัสบดีผมก็จะไปขอยืมเลนส์รุ่นพี่ก่อนได้

แต่พอวันสองวันก็ส่งใบเสนอราคาตัวจริงมา สรุปค่าซ่อมเลนส์ก็เป็น 2080 กว่าบาท รวม vat แล้ว ราคานี้ happy ดี


ก่อนวันรับกล้อง
เผอิญว่า วันอังคารต่อมาผมได้ไปไซด์งานกับอาจาร์ยข้างนอก แล้วด้วยความฉลาดของเท้าผม ไม่รู้ว่ามันไปลงท่าไหน เดินเปลี่ยนสเตปพื้นพลาดไปนิดเดียว เสียงดังแกร๊กๆๆๆๆๆ ในร่างกายมันส่งผ่านมายังปราสาทหู ไอ้เหตุการณ์แบบนี้เจอบ่อย ก็แค่ขาแพลง ยอมทนเจ็บทำงานต่อให้จบๆ ไปก่อนดีกว่า ตอนที่กลับมาที่ ม. เดินลงจากรถเท่านั้นแหละ เท้าแทบไม่อยากแตะพื้นเลย โ-ค-ต-ร เจ็บเลย ไอ้เราเห็นท่าไม่ดีละ ถือวิสาสะกลับก่อนเลย   ปั่นจักรยานกลับบ้านลงจากจักยานขารับน้ำหนักไม่ได้เลยทรุดเลย

ไป รพ. คุยกับหมอว่าอยากหายเร็วๆ เพราะวัน พฤ มีถ่ายที่ เกษตร วัน ศ. มีถ่ายที่จุฬาอีก หมอเห็นอาการแล้วก็เลยไล่ไป x-ray ก่อน พอกลับมาหาหมออีกรอบ โอ้วแม่เจ้า เห็นภาพ x-ray แล้วรู้เลยกระดูกตรูร้าว งานที่มีก็เลยต้องไปหา คนอื่นช่วยทำให้แทน  อะไม่เป็นไร ก็ใส่เฝือกไป ประมาณเดือนกว่าๆ แล้วมา x-ray ดูอีกที


วันรับกล้อง
เนื่องจากผมไปเองไม่ได้ คุณพ่อผมเลยอาสาไปเอาเลนส์ให้ ก่อนไปพ่อผมก็ถามว่าต้องเอากล้องไปเช็คด้วยหรือป่าว ผมก็บอกไม่ต้องหรอก เพราะยังไง NST ก็ต้องเช็คให้เรียบร้อยก่อนส่งลูกค้าอยู่แล้ว แล้วอีกยอ่างพ่อผมก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องกล้องสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เอากล้องไปด้วยคงหนักเปล่า พ่อผมก็เดินทางไปกับรถลูกพี่ลูกน้อง ที่มาเยี่ยมผมที่บ้านพร้อมกับมาลาไปเรียนที่อังกฤษ พ่อผมก็ไปรับเลนส์ที่ NST ไปจิบกาแฟ หาข้าวอร่อยๆ แถวนั้นกิน  กลับบ้านพร้อมกับเลนส์ผม  ขอขอบคุณพ่อผมด้วยครับ

พอได้เลนส์กลับมา ก็มาประกบกับบอดี้เลย แค่โฟกัสครั้งแรกเท่านั้นแหละ เฮ้ยยยย มันแปลกๆ นะ มันโฟกัสได้ไม่เหมือนเดิม  ลองหลายครั้ง ลองซ้ำไปซ้ำมา จนมั่นใจว่าไม่ได้เป็นที่ตัวผม หรือการตั้งค่าผิดผลาดแน่นอน  สภาพแวดล้อมขณะลองเป็นช่วงกลางคืนมีแสงไฟนีออนหลอดเดียวเท่านั้น  มันไม่น่าจะโฟกัสแปลกๆ ได้อย่างนี้  ลองนึกภาพตามดูที่ผมบอกว่าแปลกๆ คือ   เหมือนกับเราเอาเลนส์ AF ไปโฟกัสในที่ low contrast แล้ว low light หน่อย เวลามันจะเข้าไป มันจะ ขยับเข้า ขยับออก แล้วค่อยมาถึงที่เป้าโฟกัส ซึ่งเลนส์เกรดระดับขอบทองที่ผมคุ้นเคยกับมัน ไม่เคยเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดมันไม่เข้ามันก็วืดไปเลย  แต่ว่าแสงระดับนั้นมันโฟกัสได้ 98.00%  แน่นอน

ผมเริ่มตะหงิดๆ ละว่าสงสัยมันรวนมาถึงระบบโฟกัสบนเลนส์เลยหรอ ที่บอกว่าเป็นที่เลนส์เพราะตัวกล้องผมเอาไปลองกับเลนส์ตัวอื่นแล้วมันทำงานได้อย่างปกติ  เพื่อความแน่ใจอีกครั้งผมรอวันรุ่งขึ้นให้มันมีแสงแดดหน่อย แล้วจะเอาไปลองใหม่

วันรุ่งขึ้น
ยามเช้าพระอาทิตย์ขึ้นแสงแดดสาดส่องเข้ามาที่หน้าต่างห้องผม มันช่างแยงตายิ่งนัก เลยต้องพลักดันให้ตัวเองตื่นขึ้นจากที่นอน ไปทำกิจวัตรประจำวันรอวิญญาณเข้าร่างเพื่อทีจะไปทดลองเลนส์เมื่อคืน

พอเจอแดดดีๆ เท่านั้นแหละ โฟกัสทำงานค่อนข้างปกติเลยทีเดียว แต่พอเจอ low contrast เท่านั้นแหละมอเตอร์ AF-S ทำงานอย่างกะเอาไขควงที่กล้องหมุน  โฟกัสเข้าๆ ออกๆ ซึ่งไม่น่าจะเกิดอาการนี้ได้ มีแววได้ไปที่ NST เจอห้าสาวอีกแล้ว

แต่นี้มันวันพุธ ถ้าเกิดเอาไปให้วัน พฤ วันศุกร์เค้าก็หยุด กว่าจะได้ซ่อมก็ปาไปวันอังคาร ผมเลยตั้งใจว่าวันอังคารจะเอาไปซ่อมด้วยตัวเอง เพื่อที่จะอธิบายอาการเลนส์ที่เป็นอยู่

วันนี้ 18/07/2554
เห็นว่าบางที่เค้าไม่หยุดชดเชยกัน แม่ผมเลยโทรไปถามที่ศูนย์ว่าเปิดหรือป่าว ตอนนั้นผมยังไม่ตื่นเลย พอแม่ผมเข้ามาในห้องก็บอกว่า เดี่ยวแม่จะไป ธ.ก.ศ. จะไปเอาเลนส์ไปซ่อมหรือป่าว  ผมก็งงๆ พร้อมตอบไปว่า โอเค ไปๆ

ก็นั่งรถขึ้นทางด่วนไปลงใกล้ๆตึก Empire Tower เข้าที่จอดรถ โดยส่งผมที่ชั้น B3 ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 45 ของสำนักงาน Nikon Sales Thailand  ก็เดินใช้ไม้เท้าช่วยเข้าไป เจอพี่สาวแผนกต้อนรับมองผมแปลกๆ ผมก็เดินเข้าไปต่อ ไปเข้าช่องพี่สาวคนขวา เอาเลนส์พร้อมกล้องแล้วก็บรรยายอาการให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไร แต่เหมือนพี่สาวคนกลางจะจำผมได้ ก็ทักผมมาว่าใช่ลูกค้าที่เอากล้องกับเลนส์ที่ถอดไม่ออกมาหรือป่าวคะ (จำได้ด้วยแหะ ฮ่าๆๆ)  ผมก็ตอบไป  แล้วก็ส่งกล้องพร้อมเลนส์ไปให้พี่ช่างตรวจดูอาการ

พอพี่สาวคนขวาเดินออกมาก็ บอกให้ผมรอสักครู่ช่างกำลังตรวจสอบให้อยู่ โอเคผมก็รอๆๆๆๆๆๆๆๆ

ขณะรอผมก็คิดไปเรื่อยว่านี้ถ้าเกิดเป็น เจ้าที่แล้ว นะป่านี้ฟันหัวผมแบะแน่ๆ  จากอาการของเลนส์ที่ผมเป็นอยู่ เป็นที่ เจ้าที่แล้ว นะจะบอกก่อนเลยว่า มอเตอร์น่าจะมีปัญหา (ตูรู้แล้ว) พอเอาขึ้นไปให้ช่างข้างบนแล้วกลับลงมาก็จะบอกว่าต้องเปลี่ยนบอร์ดด้วย เพราะบอร์ดก็มีปัญหา(ตูว่าแล้ว)  มามุข เปลี่ยนบอร์ด เปลี่ยนของตลอดที่นี้อะ จะฟันค่าอะไหล่อย่างเดียวเลย ดีนะช่วงนั้นใช้ของ ปกศ เลยได้รับของเร็วหน่อย  พอตอนที่รู้ว่า Nikon ตัวแม่จะเข้ามาเปิดเอง ซื้อของ ปกร เลยที่ตัดสินใจซื้อของร้านได้ง่ายๆ โดยไม่แคร์เพราะ Feedback จากน้าๆ บอกไว้ว่าซ่อมที่ศูนย์ต่างประเทศเป็นอย่างไร เพราะฉนั้นในไทยก็คงเป็นแบบนั้นแหละ ไม่ต่างกันมากหรอก

รับของ
อยากจะบอกว่ารอบนี้ รอโคตรนาน อาจจะเป็นเพราะเร่งให้ผมหรือป่าวไม่ทราบ ที่จะได้ไม่ต้องให้กลับไปแล้วกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากสภาพผมเป็นแบบนี้  อะลองเลยกดปุ่มชัตเตอร์เบาๆ ลองจับตรงที่ low contrast, low light เสียง ปิ๊บๆ มันดังเลย ไม่มีวืดวาดๆ เหมือนตอนแรก ตอนนี้ผมรู้สึกแฮปปี้มาก ก็เลยรีบถามกลับไปว่าเป็นเพราะอะไร เค้าเลยบอกว่าโปรแกรมในกล้องมันหายไปบางส่วน เลยจัดการให้ใหม่

ส่วนค่าใช้จ่ายก็ไม่มี  รักช่างกับนโยบายที่นี้ จริงๆ   ช่างแบบนี้เค้าถึงเรียกว่าช่างซ่อมตัวจริง ไม่ใช่ช่างเปลี่ยนเหมือนเจ้าที่แล้ว (จะมีหมายศาลจากเจ้าที่แล้วมาหน้าบ้านไหมเนี่ย)

กลับบ้านอย่าง HAPPY ENDING

วิเคราะห์ปัญหา
1. ภาพในช่องมองมืดขึ้น ตอนที่เกิดการชนเสา สาเหตุตรงนี้ น่าจะเกิดจากกระเดื่องที่เลนส์หรือที่กล้องผิดตำแหน่งไป เลยทำให้ก้านมัน shift
2. ถอดเลนส์จากกล้องไม่ออก  เนื่องจากปัญหาข้อที่ 1 เลยทำให้ไปขัดตัวไม่สามารถถอดออกได้ (แต่พี่ช่างเค้าถอดยังไง)
3. เรื่อง AF มันน่าจะเกิดจากการที่ผมไปลั่นชัตเตอร์ตอนที่บิดเลนส์เข้าที่ไม่ได้ เลยสงผลให้ขั่วส่งกระแสและแรงดันผ่านเข้าไปในตัวเลนส์ลัดวงจร จน chip ตัว AF โปรแกรมหาย (ใครเคยเล่น micro controler รุ่นเก่าๆ มาน่าจะพอเข้าใจ เพราะผมเดาเอา ฮ่าๆๆ)  อาจจะมีเอี่ยวไปถึงเรื่องความชื่นด้วย เลยทำให้ลัดวงจรได้  ดีนะ chip ไม่ไหม้พังไป ที่มันไม่พังอาจจะเพราะทนช่วง transient ได้ถึง 3 เท่า

อุทาหรณ์ สำหรับผู้ที่อาจจะเกิดคล้ายๆ ผม
1. เจอเหตุการณ์คล้ายๆ แล้วอย่าไปทำไรกล้องต่อเลย ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เพราะมันอาจจะทำให้ระบบไฟมันวิ่งลัดวงจร อาจจะเกิดสิ่งเลวร้ายมากกว่าผมก็ได้
2. อย่าพยายามไปงัดแงะอะไรเลย ไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียลงไปหรอก
3. เวลาไปรับกล้อง ควรจะตรวจสอบกล้องอย่างละเอียด ไม่งั้นต้องเสียเวลาหลายวันในการทำการ

สุดท้ายก็ขอกราบขอบพระคุณพ่อแม่ผมที่ช่วยเป็นธุระให้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น